วิธีการเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหย
ให้ได้ของแท้บริสุทธิ์ 100%
วิธีการเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยที่ถูกต้อง, ควรหลีกเลี่ยงน้ำมันหอมระเหยที่ฉลากระบุว่า Perfume Oil หรือ Fragrance Oil, การเลือกบรรจุภัณฑ์, ข้อมูลของน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิด, ราคาของน้ำมันหอมระเหย, ข้อแตกต่างของน้ำมันหอมระเหยกับน้ำมันหอม (fragrance) ...
วิธีการเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยให้ได้ของแท้บริสุทธิ์ 100% มีดังนี้
1. หลีกเลี่ยงน้ำมันหอมระเหยที่ฉลากระบุว่า Perfume Oil หรือ Fragrance Oil ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นการนำน้ำมันหอมระเหยชนิดสังเคราะห์ที่ได้กลิ่นเหมือนกันมาใช้แทน ไม่มีประโยชน์ในการบำบัด กลิ่นแรกหลังจุดจะรู้สึกแสบจมูก
2. หากน้ำมันหอมระเหยบรรจุอยู่ในขวดแก้วใส คุณสมบัติหรือประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยจะถูกทำลายด้วยแสงที่มากระทบ กลิ่นหอมจะไม่คงทน และประโยชน์ในการบำบัดก็จะลดลงตามไปด้วย วิธีการเลือกซื้อที่ถูกต้อง คือ น้ำมันหอมระเหยต้องเก็บไว้ในภาชนะแก้วสีทึบ เพื่อป้องกันแสงแดดไม่ให้ทำลายองค์ประกอบในน้ำมันหอมระเหย เช่น ขวดแก้วสีน้ำตาล สีน้ำเงิน หรือสีเขียว เป็นต้น
3. หลีกเลี่ยงการเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เป็นขวดพลาสติก หรือมีจุกยาง เนื่องจากคุณสมบัติของน้ำมันหอมระเหยแท้จะละลายพลาสติกหรือจุกยางได้ ขวดบรรจุต้องเป็นขวดแก้วหรืออะลูมิเนียมเท่านั้น และจุกหยดที่ใช้ขวดน้ำมันหอมระเหยควรเป็นพลาสติกแบบแข็งที่ทำมาเฉพาะ และฝาปิดควรเป็นอะลูมิเนียมหรือพลาสติกแข็งที่ทนทานเช่นกัน
......................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน
......................................................................................
4. ราคาของน้ำมันหอมระเหยโดยปกติแล้วมีราคาหลักพันถึงหลายหมื่น บาทต่อลิตร โดยที่น้ำมันหอมระเหยจากดอกไม้หอมและพืชบางชนิด จะมีราคาแพงมาก ประมาณ 50,000-250,000 บาทต่อลิตร เช่น มะลิ (Jasmine) เนโรลี่ (Neroli) กุหลาบ (Rose) ไม้จันทน์ (Sandalwood) คาโมไมล์ (Chamomile) ลีลาวดี (Frangipani) ซ่อนกลิ่น (Tuberose) ดอกบัว (Lotus) เพราะฉะนั้นหากท่านเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยได้ในราคาถูกเกินความเป็นจริง ขอให้หยุดคิดสักนิดว่านั่นไม่ใช่ของแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจเป็นเพียงน้ำหอมสังเคราะห์ ผู้ซื้อจึงควรเลือกจ่ายในราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์
5. หากพบน้ำมันหอมระเหยมีตะกอนอยู่ก้นขวดหรือแขวนลอยอยู่ ขอให้เลี่ยงเพราะน้ำมันหอมระเหยดังกล่าวอาจถูกเก็บไว้นานเกินไป
6. ผู้ขายสามารถอธิบายถึงสรรพคุณของน้ำมันหอมระเหยดังกล่าวได้หรือไม่ มีความรู้ในตัวผลิตภัณฑ์มากเพียงใด ผู้ขายควรมี ข้อมูลของน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิด ซึ่งประกอบด้วย ชื่อทางวิทยาศาสตร์ ประเทศที่ผลิต และวิธีการสกัด เป็นอย่างน้อย หรือถ้าให้ดีควรมี Certificate of Analysis เพื่อใช้เป็นตัวบอกรายละเอียดและคุณภาพของน้ำมันหอมระเหย ประกอบด้วย
7. ในปัจจุบันมีน้ำมันหอมกลิ่นดอกไม้ไทยหลายชนิดที่เขียนว่าเป็นน้ำมันหอมระเหย เช่น ดอกโมก ดอกแก้ว ราตรี ลีลาวดี มะลิ ซ่อนกลิ่น หรืออื่น ๆ ที่ขายในขนาดบรรจุเล็กขวดละไม่กี่สิบบาท น้ำมันหอมระเหยเหล่านั้นเป็นน้ำมันหอม (fragrance) ที่สังเคราะห์ขึ้นมาให้กลิ่นของดอกไม้ไทย มีราคาถูกเพียงแค่ประมาณ 1,000-3,000 บาทต่อลิตรเท่านั้น ไม่ใช่น้ำมันหอมระเหยที่สกัดมาจากดอกไม้ชนิดนั้น ๆ โดยตรง ในปัจจุบัน ดอกไม้ไทยที่มีการสกัดน้ำมันหอมระเหยออกมานั้น จะมีเพียงแค่ มะลิ ลีลาวดี ซ่อนกลิ่น และดอกบัว เท่านั้น ซึ่งราคาก็จะแพงมากอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 80,000-200,000 บาทต่อลิตร จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีน้ำมันหอมระเหยดอกไม้ไทย ของแท้ที่สกัดจากดอกไม้จริง ๆ ขายในราคาถูก การใช้น้ำหอมประเภทนี้กับเตาเผาน้ำมันหอมระเหยไปนาน ๆ อาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบทางเดินหายใจได้ ผู้ซึ้อควรพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ ระหว่างราคา คุณภาพ และความปลอดภัย
|