ปรอทในฟัน มหันตภัยใกล้ตัวคุณ
คุณผู้อ่านอาจคิดว่ามลภาวะเป็นพิษนั้น เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมนอกบ้าน ควันท่อไอเสียรถยนต์ ควันบุหรี่ แต่จากงานวิจัยสรุปเอาไว้ว่ากว่า 90% ของสารเคมีเป็นพิษที่ร่างกายเราได้รับนั้น เราได้จากภายในบ้านเรานี่เองค่ะ จากอาหารที่เรารับประทาน น้ำ หรือแอลกอฮอร์ที่เราดื่ม พลาสติก โฟมบรรจุอาหาร ที่ปลดปล่อยสารปนเปื้อน กาวที่ติดวอลเปเปอร์ ไม้อาบน้ำยา เฟอร์นิเจอร์ พรม ผงฝุ่นละอองที่ติดอยู่ และแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์ล้วนแล้วแต่มีสารเคมีแอบแฝง ซึมซาบเข้าสู่เราได้ทุกอนูขุมขนและลมหายใจ แต่โลหะหนักเป็นพิษที่เป็นอันตรายสูงสุดต่อชีวิตนั้นมาจากอมัลกัม(Amalgam) หรืออุดฟันสีเงิน ๆ ในปากเรานั่นเองค่ะ
.........................................................................................................
โฆษณา-ลิงก์ผู้สนับสนุน
.........................................................................................................
แม้ว่าทันตแพทย์จะเลือกใช้อมัลกัม อุดฟันสีเงินๆ มานานกว่า 30 ปี จนคนวัย 40 กว่าแทบจะมีกันทุกคน แต่เพิ่งจะเมื่อไม่นานมานี้ที่มีประเด็นหยิบยกมาถกเถียงว่า สารอุดฟันนี้ปลอดภัยต่อร่างกายเราจริงหรือเปล่า โดยพบว่า 35- 70% ของเนื้อสีเงิน ๆ ที่อุดฟันนั้น คือสารปรอท และแทบจะไม่มีแร่ธาตุเงินเป็นส่วนผสมเลยด้วยซ้ำ นานวันเข้าปรอทเหล่านี้สามารถหลุดลอยไปตามกระแสเลือด หรือเรากลืนกินเข้าไปกับอาหาร ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้มากมาย ทั้งนี้จากงานวิจัยพบว่าที่อุณหภูมิ 37 องศา หรืออุณหภูมิร่างกายปกตินั้น ปรอทจากที่อุดฟันจะสามารถระเหยออกมาได้มากถึง 43.3 ไมโครกรัม ต่อพื้นที่ผิวสีเงิน ๆ 1 ตารางเซนติเมตร ภายในเวลา 1 วัน แต่ถ้าหากเอาอมัลกัมนี้ไปเก็บไว้ในน้ำเย็น ที่อุณหภูมิ 23 องศาเซลเซียส จะปลดปล่อยปรอทออกมาแค่ 4.5 - 21 ไมโครกรัมต่อพื้นที่ผิว 1 ตารางเซนติเมตร น้อยลงไปตั้งแต่ครึ่งถึง 10 เท่าเลยทีเดียว
นอกจากนี้งานวิจัยยังระบุอีกว่า ใครก็ตามที่ชอบดื่มกินอาหารที่มีสภาวะเป็นกรดก็จะทำให้เกิดการกัดกร่อนให้สารปรอทในอมัลกัมนี้หลุดออกมาได้มากขึ้น พวกฝรั่ง ยุโรปที่ชอบดื่มน้ำอัดลม อมท้อฟฟี่เปรี้ยว ๆ หรือเคี้ยวกินชีส ล้วนแล้วทำให้น้ำลายซึ่งควรจะมีมีสภาวะเป็นด่างกลายเป็นกรด และเกิดปัญหาการกัดกร่อนฟันทำให้สารปรอทหลุดลอยไปกับอาหาร นอกจากจะกลืนกินแล้วยังมีไอปรอทที่ระเหยให้เราสูดดมเข้าไปทางปอด ตกค้างในปอดเข้าไปในกระแสเลือด เป็นผลร้ายต่อสุขภาพ
งานวิจัยยังรายงานอีกว่า ปัญหาสุขภาพเรื้อรังมากมายที่น่าจะมีสาเหตุส่วนหนึ่ง มาจากสารปรอทที่คนไข้ได้รับอยู่ทุกวันจากที่อุดฟัน ตั้งแต่ภาวะภูมิแพ้ที่หาสาเหตุไม่เจอ ซึ่งหน้าจะพบได้บ่อยสุด หมอเพิ่งมีคนไข้ที่มีปัญหามือพุพองเป็นแผล ไปทำการตรวจสอบแล้วก็ไม่รู้ว่าแพ้อะไร แต่ในที่สุดเมื่อตรวจวัดพลังงาน BEM (Bio Energy Medicine) ก็พบว่ามีสารปรอทเป็นพิษในตัว เมื่อแนะนำให้ไปเอาปรอทออกเปลี่ยนเป็นที่อุดฟันแบบอื่น พบว่าในวันที่เปลี่ยนที่อุดฟันนั้น มีสารปรอทมากมายเข้ามาในกระแสเลือด ทำให้มือพุพองประทุหนักมากขึ้น ต้องใช้วิธีคีเลชั่น (Chelation) มาช่วยดักจับสารปรอทออกไปจากร่างกาย ผื่น แพ้ พุพองถึงจะดีขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้แก่ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ตัวเอง อย่าง SLE ก็เป็นไปได้ว่ามาจากสารปรอทที่อยู่ในฟันเรามานาน ๆ เพราะปรอทเมื่อไปเกาะติดกับเม็ดเลือดก็จะทำให้ภาวะภูมิต้านทานเราลดลง จนแม้กระทั่งตัวเองก็ยังแพ้ ทำงานแปรปรวนกันไปหมด แถมทำให้ขาดพลังงาน
รู้สึกอ่อนล้า เหนื่อย เพลียง่าย มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ไขข้ออักเสบ และที่สำคัญก็คืออาการต่อระบบประสาท ทั้งความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ กระแสประสาทผิดปกติ กล้ามเนื้อชักกระตุก สายตาสั้น สายตายาวผิดปกติ โรคจิต หวาดระแวง สมาธิสั้น หรือมีความผิดปกติในการเรียนรู้ นอนไม่หลับ ปวดร้าวไปตามเส้นประสาท กระเพาะอาหาร และลำไส้อักเสบ การดูดซึมอาหารผิดปกติ ผมร่วง ท้องผูก เบื่ออาหารอย่างหนัก หรือน้ำหนักขึ้น มีการสะสมของไขมันได้มาก เอาเป็นว่าปัญหาสุขภาพเรื้อรัง หลาย ๆ โรคที่หาสาเหตุไม่เจอด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน อาจเป็นไปได้ว่ามีผลมาจากโลหะหนัก หรือสารปรอทที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วร่างกายเรา
คำแนะนำของแพทย์ในปัจจุบันนี้ก็คือ หากใครมีที่อุดฟันเป็นสีเงิน ๆ หรืออมัลกัมก็สมควรจะไปเอาออกโดยปรึกษากับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยตรงนะคะ เพราะในขบวนการเอาที่อุดฟันอมัลกัมนี้ออก แล้วใส่ที่อุดฟันอื่นเข้าไปแทนนั้น มีความละเอียดอ่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ปรอททะลักเข้าไปสู่ร่างกายเรา จึงควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ ที่มีเครื่องไม้เครื่องมือครบต้องมีที่ดูดน้ำลายชนิดพิเศษ ที่จะลดปริมาณปรอทไม่ให้เข้าไปสู่ร่างกายของคนไข้ ทั้งยังต้องมีที่กำจัดควันที่เกิดจากการกรออมัลกัมออก ที่สำคัญไม่ควรใช้วิธีกรออมัลกัมเป็นผงเล็กผงน้อย เพราะจะทำให้มีพื้นที่ผิวมากขึ้น ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น และเป็นอันตราย บางคนมีปฏิกริยาแทบจะทันทีทันใด หรือภายในไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่เอาอมัลกัมออกก็เกิดผื่นเห่อคันได้ทั้งตัว ทางที่ดีน่าจะใช้วิธีตัดอมัลกัมเป็นชิ้นใหญ่ ๆ แล้วดึงออกทั้งชิ้นได้เป็นดีที่สุด จะลดปัญหาเรื่องควันปรอท บางที่มีผ้าคลุมพิเศษสำหรับปิดหน้าปิดตา และร่างกายของคนไข้เพื่อไม่ให้สัมผัสกับปรอท รวมทั้งคุณหมอและพยาบาลที่ถอนอมัลกัมนี้ก็ต้องมีการสวมใส่เสื้อผ้าที่จะช่วยป้องกันการสัมผัสกับปรอทด้วย
สำหรับคนไข้เมื่อกลับถึงบ้าน ควรถอดเสื้อผ้าซัก อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้าโดยเร็ว และถ้าเป็นไปได้ควรทำคีเลชั่น (Chelation) ซึ่งเป็นขบวนการดูดซับจับโลหะหนักออกจากร่างกาย ดีที่สุดก็คือไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านคีเลชั่นโดยตรง และนอนให้ยาทางสายน้ำเกลือประมาณ 3 ชั่วโมง ตัวยาหลักนั้น ได้แก่ EDTA หรือสาร DMSA คลอเรลลา และมักจะให้ร่วมกับวิตามินซีด้วย แต่ถ้าไม่สะดวกที่จะมานอนให้น้ำเกลืออาจจะใช้เป็น EDTA ชนิดเหน็บทางทวารก่อนนอน ที่เรียกว่าดีท็อกซ์ซามิน (Detoxamin) แต่ก็ควรจะเหน็บต่อเนื่องกัน อย่างน้อย ๆ 10-15 ครั้งในเวลา 1 เดือน
ที่สำคัญก็คือ ไม่ควรจะดึงเอาอมัลกัมออกจากปากเราพร้อม ๆ กันหลาย ๆ ซี่ เพราะอาจทำให้ปรอทหลุดเข้าไปในร่างกายปริมาณมากภายในวันเดียวจนเกิดปฏิกิริยาได้ นอกจากจะเป็นผื่นขึ้นทั้งตัวแล้ว อาจจะมีอาการไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน หรือบางครั้งลุกออกมาทำงานไม่ไหว ทางที่ดีค่อยเป็นค่อยไป เอาซี่ใหญ่สุดออกก่อน แล้วก็ทำการล้างโลหะออกจากร่างกายด้วยคีเลชั่นทั้งทางสายน้ำเกลือ และทั้งยาเหน็บ และอีกหนึ่งเดือนก็ค่อยกำจัดออกไปซี่หนึ่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางคนแนะนำให้นวดดีท็อกซ์ หรือนวดกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำเหลืองก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ร่างกายขับถ่ายเอาโลหะหนักออกไปได้เร็วยิ่งขึ้นดีกว่าปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกไปเองตามธรรมชาติ
ลองสังเกตตัวเองดูนะคะว่ามีปัญหาสุขภาพอย่างที่กล่าวมาหรือไม่ และเป็นปัญหาเรื้อรังที่รักษามาหลายวิธีแล้วไม่หาย ลองใช้วิธีกำจัดเอาอมัลกัม คุณอาจจะหายจากโรคร้ายได้เป็นปลิดทิ้งในเร็ววันโดยไม่ต้องใช้ยา
บทความโดย
Pakpilai Thavisin, M.D.
S medical Spa
|